ยินดีต้อนรับ - Welcome

ยินดีต้อนรับ - Welcome - Bienvenu - Bienvenido - Benvenuto - ευπρόσδεκτος - желанный - רצוי - 受歡迎 - 환영받는 - مرحب بهइच्छित

ตัวฉัน ... My self

ปฏิทินของฉัน ... My Calendar

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

Lyon! One of the attractive destination.

ONLYLYON :the presentation of Lyon.

Lyon มนต์เสน่ห์เมืองเก่าและอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยที่สุดในโลก
         ฤดูร้อนปีนี้ผลไม้สดในยุโรปพากันสุกโดยพร้อมเพรียงและมีปริมาณออกสู่ตลาดมากเป็นพิเศษ จึงมีผลไม้ให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลูกพรุน เชอร์รี สตรอว์เบอร์รี ไปจนถึงแตงโมและแคนตาลูปหวานเจี๊ยบ ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติก็น่าจะเป็นช่วงรื่นเริงเบิกบาน แต่บังเอิญโลกทั้งใบเจอเข้ากับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้คนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เดินทางท่องเที่ยวไกลๆ เอาแค่ไปใกล้ๆ พอหอมปากหอมคอและใช้เงินอย่างระมัดระวัง แต่ถึงกระนั้นชาวยุโรปก็ยังไปอุดหนุนร้านกาแฟบนทางเท้ากันแน่นทุกที่นั่ง นั่นอาจเพราะเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาก็เป็นได้ ส่วนราคากาแฟก็ไม่แพงนัก สั่งมาถ้วยเดียวเสียไปไม่กี่ยูโรแต่นั่งได้นาน  ทำให้บรรยากาศและเสน่ห์ของเมืองโดยภาพรวมยังดูดีอยู่

         ความจริงเสน่ห์ของยุโรปที่นอกเหนือจากวิวทิวทัศน์สวยสดงดงามราวกับปฏิทินก็คือการมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สามารถนับย้อนหลังได้เป็นพันๆ ปี แถมยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นถาวรวัตถุให้สืบค้นย้อนกลับไปได้อีกด้วย ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือคนยุโรปทุ่มเทและเก็บรักษาประวัติศาสตร์เหล่านั้นเอาไว้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการรักษาเขตเมืองเก่าที่หลายแห่งในปัจจุบันยังมีผู้คนอาศัยอยู่จริงและไม่ได้ร้าง

         เขตเมืองเก่าในยุโรปมีกฎหมายพิเศษควบคุมเคร่งครัด ห้ามทุบทำลายหรือดัดแปลงใดๆ โดยไม่ได้แจ้งขออนุญาตล่วงหน้า อีกทั้งการขออนุญาตอาจไม่ผ่านการพิจารณาง่ายๆ หากมีการกระทำอันควรเชื่อว่าจะกระทบกระเทือนต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับหนักทีเดียว ดังนั้นเวลาไปเที่ยวยุโรปตามเมืองเก่า ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตึกเก่าบางหลังข้างหน้าดูโบราณมาก แต่ข้างในทันสมัยไฮเทค มีไฟฟ้า มีลิฟต์ มีอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ความเร็วสูง และอะไรต่อมิอะไรอย่างที่ตึกทันสมัยสร้างใหม่มี

         การรักษาสภาพของเขตเมืองเก่าเอาไว้อย่างเข้มงวดนี้ ทำให้การไปเยือนยุโรปกี่ครั้งกี่หนทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมหรือเกือบเหมือนเดิม ดังเช่นเมืองลียง (Lyon) ของฝรั่งเศส แม้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากปารีส แต่ชื่อเสียงความขลังของเขตเมืองเก่าก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างชะงัดยิ่งกว่าสิ่งใด

          ลียงเป็นเมืองเอกของแคว้นโรน-อัลป์ (Rh๔ne-Alpes) ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ถ้าออกเดินทางจากปารีสใช้ทางด่วนเส้น A6 ระยะทาง 464 กิโลเมตร ขับรถอย่างระมัดระวัง ไม่เพลินเร่งความเร็วจนโดนจับก็ราว 4 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้านั่งรถไฟด่วน Euro-star รุ่นใหม่จะใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้

         ลียงจัดว่าเป็นเมืองสวยอีกแห่งที่มีฮวงจุ้ยตรงตามตำรา คือตัวเมืองด้านหนึ่งติดภูเขา อีกด้านติดแม่น้ำ อีกทั้งยังมีแม่น้ำถึง 2 สายคือแม่น้ำโรน (Le Rh๔ne) และแม่น้ำโซน (La Sa๔ne) ทั้งสองสายไหลจากเหนือลงใต้ผ่ากลางเมืองลียง โดยแม่น้ำโซนอยู่ด้านซ้ายและแม่น้ำโรนอยู่ด้านขวา แล้วไหลไปบรรจบกันเมื่อเลยภูเขากลางเมืองออกไปสัก 2-3 กิโลเมตร ดังนั้นจึงเกิดเป็นเกาะกลางน้ำ ลักษณะเป็นแผ่นดินเรียวยาวคล้ายปากนกกระสา ซึ่งก็คือเขตเมืองเก่าของลียงที่เรียกบริเวณนี้ว่าแปรสกิล (Presqu'ile)

          การสำรวจเมืองเก่าของลียงที่ในอดีตมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรโกล-โรมัน (ในยุคที่โรมันครอบครองยุโรป) ให้ได้อรรถรสมีอยู่วิธีเดียวคือการเดินเท่านั้น วิธีอื่นอาจใช้ได้เหมือนกัน แต่ไม่ครบถ้วน เพราะการเดินผ่านอย่างใจเย็นเข้าไปตามตรอกแคบๆ นั้น ประสาททุกส่วนของคุณจะได้รับรู้ถึงการสัมผัสในรูป รส กลิ่น เสียง และสี รวมไปถึงบรรยากาศสดๆ ยามท้องฟ้าทอแสงแดดให้สาดส่องผ่านผนังตึกเก่า ซึ่งแต่ละช่วงเวลามีมิติที่ไม่เคยเหมือนกันเลยสักวินาทีเดียว

          อย่างไรก็ตาม การเดินเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ อย่างปารีสหรือลียงที่มีตรอกซอกซอยมากมายก็ต้องระวังตัวจากพวกนักวิ่งราวเป็นพิเศษ พวกนี้ทำกันเป็นขบวนการอย่างมีระบบและซักซ้อมมาอย่างดี เราวิ่งไล่พวกมันไม่ทันแน่นอน ดังนั้นกระเป๋าสตางค์ควรเก็บให้มิดชิด แยกเงินสดและบัตรเครดิตเอาไว้ หากพลั้งเผลอจะได้ไม่หมดตัว แต่ก็ไม่ต้องกังวลจนทำให้การท่องเที่ยวกร่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นที่แนะนำให้เดินก็เพราะสภาพเมืองน่าเดินจริงๆ แต่จะซื่อตรงเดินกันอย่างเดียวก็เห็นทีคงขาลากหัวเข่าเสื่อมเป็นแน่ ทางที่ดีใช้ตัวช่วยที่เทศบาลเมืองลียงเขาทำไว้รองรับการเดินทางของประชาชนชาวเมือง ซึ่งนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็ได้ประโยชน์ไปด้วย นั่นคือการโดยสารรถไฟใต้ดินหรือที่เรียกว่าเมโทร

          เมโทรในเมืองลียงมีถึง 4 สาย คือ A, B, C และ D (สาย D เป็นระบบอัตโนมัติ ไม่มีคนขับ) ทั้งยังมีรถรางให้ใช้อีก 2 สาย (T 1 และ T 2) และมีรถเมล์อีกหลายสายนับไม่ถ้วน ขนส่งมวลชนทุกระบบใช้ตั๋วแบบเดียวกันหมด ราคาก็ไม่แพง และที่เหนือชั้นกว่าใครคือการทำระบบจักรยานให้เช่า ซึ่งช่วยให้การเดินทางหรือเที่ยวชมเมืองสะดวก รวดเร็ว และได้อรรถรสยิ่งขึ้น แถมยังไปอย่างเงียบๆ ไม่มีมลภาวะให้เป็นภาระของเมืองอีกด้วย สำหรับสถานที่ให้เช่าจักรยานก็กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยใช้ระบบคีย์การ์ดซึ่งไปหาซื้อแล้วเสียบเอาจักรยานออกจากที่

         ล็อกได้เลย ใช้นานกี่นาทีระบบก็จะหักเงินไปเรื่อยๆ (30 นาทีแรกฟรี) ระบบจักรยานให้เช่าแบบนี้เมืองท่องเที่ยวของไทยอย่างเชียงใหม่น่าจะนำมาใช้บ้าง

         เอาล่ะ เมื่อตกลงใจว่าจะเดินเที่ยว มีรองเท้าและแผนที่พร้อมก็ออกเดินกันเลย สำหรับมือใหม่แนะนำว่าควรเริ่มต้นที่ลานปลาซแบลกูร์ (Place Bellecour) ที่ลานนี้มีจุดสังเกตคืออนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้าอย่างสง่างาม ซึ่งชาวลียงภูมิใจหนักหนา เพราะประติมากรเป็นชาวลียงปั้นเองกับมือ

         หากมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่บนลานแล้วยังรู้สึกมึนตึ๊บ ไม่รู้จะเริ่มเดินไปตรงไหนก่อนดี ก็ให้เริ่มจากไปขอคำแนะนำหรือข้อมูลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (Office du Tourisme) ที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น เมื่อเข้าไปแล้วจะพบแผ่นโบรชัวร์พร้อมทั้งแผนที่แจกฟรีวางไว้เต็มไปหมด เลือกเฉพาะที่สนใจจริงๆ ไม่ควรโลภหอบมาให้หนักเปล่าๆ

         ลานปลาชแบลกูร์ของเมืองลียงนี้ยืนยันได้ว่าใครๆ ก็ต้องมา โดยเฉพาะบรรดาขาชอปทั้งหลาย เพราะรอบๆ ลานมีแต่ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร แล้วก็ถนนชื่อวิกเตอร์ อูโก (Rue Victor Hugo) ซึ่งเป็นชื่อนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสที่เขียนเรื่องได้สุดแสนรันทด มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ.1802-1885 ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักทั่วโลก ทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่และเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว วิกเตอร์ อูโกมีความสามารถหลายอย่าง เป็นทั้งนักประพันธ์ นักเขียนบทละคร จิตรกร นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง 

         ถนนวิกเตอร์ อูโกนี้อวดความหรูของตัวเองด้วยสินค้าแบรนด์เนมทุกยี่ห้อของฝรั่งเศสและยุโรป จงเข้าไปรูดปื๊ดๆ กันให้หนำใจ และนอกจากถนนวิกเตอร์ อูโกแล้ว ลียงยังมีถนนคนเดินที่ปิดให้คนเดินอย่างเดียว ไม่มีรถวิ่งชื่อถนนเดอ ลา เรปูบลิก (Rue de la Republique) อันยาวเหยียดเดินกันขาลาก ปลายทางคือ H๔tel de Ville ถ้าเห็นคำว่า H๔tel ในฝรั่งเศสก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรงแรมไปเสียหมด เพราะที่จริงแล้วคือศาลาเทศบาลเมืองหรือ City Hall นั่นเอง

         ศาลากลางของลียงสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1646 มีหน้าบันสวยงามมาก ลานหน้าศาลาเทศบาลมีอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ โดยฝีมือออกแบบของเฟรเดริค ออกุสต์ บาร์โธลดี  (Frederic Auguste Bartholdi) คนออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพที่ฝรั่งเศสมอบให้เป็นของขวัญแก่ชาวอเมริกันเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1876 ในวาระครบรอบ 100 ปีของการประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ (เทพีเสรีภาพนี้จึงได้ไปยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนเกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตันในนครนิวยอร์ก ปัจจุบันกลายเป็นมรดกโลก) 

          อย่างไรก็ตาม ตัวเมืองเก่าจริงๆ ของลียง โดยเฉพาะเขตที่เรียกว่าลิเยอร์ ลียง (Vieux Lyon) ไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง ในอดีตถนนหนทางในนี้เป็นทางสัญจรของชาวลียงเนส์ (les Lyonnais) ยุคโบราณสุดคลาสสิก ลักษณะเป็นถนนแคบๆ แค่รถม้าผ่านได้ ซึ่งจะพาลัดเลาะไปตามตัวอาคารที่เคยเป็นย่านการค้าผ้าไหมอันมีชื่อเสียงของลียง 

         เดินเที่ยวอยู่ในเขตเมืองเก่าทั้งทีก็จงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเขาบ้าง อย่างไรเสียก็ต้องเห็น The Basilique Notre-Dame-de-Fourvi่re โบสถ์คู่บ้านคู่เมืองของลียงที่สร้างในระหว่าง ค.ศ. 1872-1896 ถ้าสนใจไปชมก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าขึ้นไปได้ โดยขึ้นที่สถานีในเขตเมืองเก่า ซึ่งตัวโบสถ์ชูยอดแหลมเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองลียง มีรูปพระแม่มารีสีทองอร่ามโดดเด่นมาก ข้างในมลังเมลืองด้วยงานโมเสกชิ้นเล็กๆ ประดับเป็นภาพน้อยใหญ่ทั่วผนังโบสถ์ ชมโบสถ์ประจำเมืองแล้ว ขากลับลงเขาถ้ามีเวลาควรแวะชมโรงละครโบราณของชาวโรมัน ที่นักโบราณคดีคะเนว่าสามารถจุคนดูได้ถึงแสนคนทีเดียว

         อย่างไรก็ดี เมืองลียงไม่ได้มีเสน่ห์เฉพาะช่วงกลางวันเท่านั้น แต่กลางคืนก็สวยและโรแมนติกสุดๆ ยิ่งถ้าไปช่วงปลายปี อาคารสถานที่ต่างๆ กว่า 150 แห่งในเมืองลียงจะประดับไฟ ทั่วทั้งเมืองจะเหลืองอร่ามลออตาด้วยแสงสีแพรวพราว ชนิดที่ว่าสวยจนกลายเป็นเทศกาลชมแสงไฟยามค่ำระดับชาติไปแล้วเรียบร้อย ช่วงนั้นโรงแรมต่างๆ ถูกจับจองเต็มตลอดทั้งเดือน ที่มาที่ไปของเทศกาลนี้เริ่มมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมือง เมื่อโรคร้ายหายไปจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่ชาวเมืองลียงเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงได้แสดงความขอบคุณด้วยการจุดเทียนบูชาไว้ตามบ้าน หลังจากนั้นจึงเป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาจนกลายเป็นมหกรรมใหญ่โตหยุดไม่อยู่เช่นในปัจจุบัน

         แน่นอนที่สุด เที่ยวแล้วท้องก็ต้องหิวเป็นธรรมดา ชาวลียงเนส์เขาก็แสนจะภูมิอกภูมิใจนักหนาว่าถ้าอยากกินอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยที่สุดในโลกให้มากินที่ลียงเท่านั้น และนอกจากอร่อยแล้วยังเป็นเมืองที่มีร้านอาหารมากมาย จนได้ฉายาว่าเป็น “Capitale Mondiale de la Gastronomie” ของโลก ซึ่งก็คงจะจริง เพราะเชฟเก่งๆ เกือบร้อยทั้งร้อยมาจากลียงทั้งสิ้น ดังนั้นมาถึงถิ่นแล้วก็ต้องเข้าร้านกินอาหารฝรั่งเศสและไวน์ของที่นี่สักครั้ง อีกทั้งราคาก็ไม่แพงอย่างที่จินตนาการไปเองเลย ส่วนเครปของตาย... เอาไว้กินตอนเงินหมดละกัน


Reference : http://www.gourmetthai.com/newsite/travel/travel_detail.php?content_code=CONT992

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น