นั่งเครื่องบินไม่เสี่ยงติดโรคอย่างที่คิด |
เอเอฟพี - ผลการศึกษาล่าสุดพบ อากาศภายในห้องผู้โดยสารของสายการบินทั่วไป แทบไม่มีส่วนช่วยแพร่กระจายเชื้อไข้หวัด หรือโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ตามที่หลายฝ่ายหวาดวิตก
แลนซิท วารสารการแพทย์รายสัปดาห์ชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งวางแผงเสาร์นี้ (12) ระบุว่า "สายการบินพาณิชย์มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการแพร่เชื้อโรคซึ่งมากับผู้โดยสารและลูกเรือ แต่ระบบควบคุมสิ่งแวดล้อมที่ติดตั้งในสายการบินเหล่านี้ อาจควบคุมการแพร่เชื้อทางอากาศได้ อีกทั้งความเสี่ยงที่คาดคิดกันก็รุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง"
ผลการศึกษาครั้งนี้สวนทางกับจำนวนผู้โดยสารสายการบินที่ลดลง ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความหวั่นเกรงการแพร่ระบาดของไวรัสระบบทางเดินหายใจชนิดใหม่อย่างโรคซาร์ส และไข้หวัดนก ตลอดจนการก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพ เช่น ไข้ทรพิษ เหล่านี้ทำให้ข้อกังขาเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบระบายอากาศบนเครื่องบินยิ่งเพิ่มขึ้น
กระนั้น นักวิจัย นำโดยมาร์ค เกนดรู แห่งแผนกการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์การแพทย์ลาฮีย์ คลินิก ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ข้อมูลที่ดีที่สุดในปัจจุบันบ่งชี้ว่า สายการบินที่ทันสมัยไม่ได้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคมากไปกว่าพื้นที่จำกัดอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ออฟฟิศ
สายการบินที่มีการรักษาระดับความกดอากาศจะดูดอากาศในห้องผู้โดยสารผ่านห้องเครื่อง อากาศเหล่านั้นจะไหลเวียนผ่านความร้อน แรงบีบอัด และความเย็น ก่อนจะปล่อยกลับเข้าสู่ห้องโดยสารอีกครั้งด้วยระบบระบายอากาศ
เครื่องบินพาณิชย์เกือบทั้งหมดที่ให้บริการ มีการหมุนเวียนของอากาศในห้องผู้โดยสาร 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งเพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิง อย่างไรก็ดี นักวิจัยบอกว่า โอกาสในการแพร่กระจายของไวรัส หรือจุลินทรีย์ผ่านระบบรีไซเคิลนี้ ลดลงด้วยเหตุหลายปัจจัย
โดยปกติ อากาศที่ถูกรีไซเคิลจะไหลเวียนผ่านเครื่องกรองประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถขจัดฝุ่นละออง ไอน้ำ แบคทีเรีย และเชื้อรา รวมถึงดักจับอณูไวรัส ได้ถึง 99.97 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เนื่องจากเชื้อโรคพวกนี้ส่วนใหญ่ฟุ้งกระจายมากับละอองของเหลวจากผู้ที่ไอ หรือจาม
นอกจากนั้น ดีไซน์ของระบบระบายอากาศก็เป็นอีกปัจจัยที่สามารถควบคุมการแพร่กระจายของอนุภาคต่างๆ แม้แต่ในห้องผู้โดยสาร
ทีมของเกนดรู บอกว่า อากาศบนเครื่องบินมีการเปลี่ยนแปลงถี่กว่าภายในอาคารที่ทำงานทั่วไปมาก อีกทั้งการไหลเวียนยังเป็นแบบจากด้านข้างสู่ด้านข้าง เข้าสู่ห้องโดยสารจากเหนือศีรษะ และดูดออกทางพื้นห้อง นั่นหมายความว่า โอกาสที่ผู้โดยสารแถวหลังจะติดเชื้อจากการจามของผู้ที่นั่งแถวหน้าจึงมีความเสี่ยงน้อยมาก
แลนซิท วารสารการแพทย์รายสัปดาห์ชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งวางแผงเสาร์นี้ (12) ระบุว่า "สายการบินพาณิชย์มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการแพร่เชื้อโรคซึ่งมากับผู้โดยสารและลูกเรือ แต่ระบบควบคุมสิ่งแวดล้อมที่ติดตั้งในสายการบินเหล่านี้ อาจควบคุมการแพร่เชื้อทางอากาศได้ อีกทั้งความเสี่ยงที่คาดคิดกันก็รุนแรงเกินกว่าความเป็นจริง"
ผลการศึกษาครั้งนี้สวนทางกับจำนวนผู้โดยสารสายการบินที่ลดลง ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความหวั่นเกรงการแพร่ระบาดของไวรัสระบบทางเดินหายใจชนิดใหม่อย่างโรคซาร์ส และไข้หวัดนก ตลอดจนการก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพ เช่น ไข้ทรพิษ เหล่านี้ทำให้ข้อกังขาเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบระบายอากาศบนเครื่องบินยิ่งเพิ่มขึ้น
กระนั้น นักวิจัย นำโดยมาร์ค เกนดรู แห่งแผนกการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์การแพทย์ลาฮีย์ คลินิก ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ข้อมูลที่ดีที่สุดในปัจจุบันบ่งชี้ว่า สายการบินที่ทันสมัยไม่ได้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคมากไปกว่าพื้นที่จำกัดอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ออฟฟิศ
สายการบินที่มีการรักษาระดับความกดอากาศจะดูดอากาศในห้องผู้โดยสารผ่านห้องเครื่อง อากาศเหล่านั้นจะไหลเวียนผ่านความร้อน แรงบีบอัด และความเย็น ก่อนจะปล่อยกลับเข้าสู่ห้องโดยสารอีกครั้งด้วยระบบระบายอากาศ
เครื่องบินพาณิชย์เกือบทั้งหมดที่ให้บริการ มีการหมุนเวียนของอากาศในห้องผู้โดยสาร 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งเพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิง อย่างไรก็ดี นักวิจัยบอกว่า โอกาสในการแพร่กระจายของไวรัส หรือจุลินทรีย์ผ่านระบบรีไซเคิลนี้ ลดลงด้วยเหตุหลายปัจจัย
โดยปกติ อากาศที่ถูกรีไซเคิลจะไหลเวียนผ่านเครื่องกรองประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถขจัดฝุ่นละออง ไอน้ำ แบคทีเรีย และเชื้อรา รวมถึงดักจับอณูไวรัส ได้ถึง 99.97 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เนื่องจากเชื้อโรคพวกนี้ส่วนใหญ่ฟุ้งกระจายมากับละอองของเหลวจากผู้ที่ไอ หรือจาม
นอกจากนั้น ดีไซน์ของระบบระบายอากาศก็เป็นอีกปัจจัยที่สามารถควบคุมการแพร่กระจายของอนุภาคต่างๆ แม้แต่ในห้องผู้โดยสาร
ทีมของเกนดรู บอกว่า อากาศบนเครื่องบินมีการเปลี่ยนแปลงถี่กว่าภายในอาคารที่ทำงานทั่วไปมาก อีกทั้งการไหลเวียนยังเป็นแบบจากด้านข้างสู่ด้านข้าง เข้าสู่ห้องโดยสารจากเหนือศีรษะ และดูดออกทางพื้นห้อง นั่นหมายความว่า โอกาสที่ผู้โดยสารแถวหลังจะติดเชื้อจากการจามของผู้ที่นั่งแถวหน้าจึงมีความเสี่ยงน้อยมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น